พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช
2542 ได้ให้ความหมายของคำว่า “ นาฏศิลป์
” ไว้ว่า “ เป็นศิลปะแห่งการละครหรือการฟ้อนรำ
” นอกจากนี้ ยังมีนักการศึกษา และท่านผู้รู้ได้ให้นิยามความหมายของนาฏศิลป์แตกต่างกันออกไป ดังนี้
1.
ความช่ำชองในการละครและฟ้อนรำ
2.
ศิลปะการละครหรือการฟ้อนรำของไทย
3.
การร้องรำทำเพลง
เพื่อให้เกิดความบันเทิงเริงใจ
4.
การฟ้อนรำที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น
โดยการเลียนแบบท่าธรรมชาติด้วยความประณีตลึกซึ้ง
5.
ศิลปะการฟ้อนรำหรือความรู้แบบแผนของการฟ้อนรำ
ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความงามอย่างมีแบบแผน
นาฏศิลป์
หมายถึง ศิลปะการฟ้อนรำ หรือความรู้แบบแผนของการฟ้อนรำ
เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความประณีตงดงาม ให้ความบันเทิง อันโน้มน้าวอารมณ์และความรู้สึกของผู้ชมให้คล้อยตาม ศิลปะประเภทนี้ต้องอาศัยการบรรเลงดนตรี
และการขับร้องเข้าร่วมด้วย เพื่อส่งเสริมให้เกิดคุณค่ายิ่งขึ้น หรือเรียกว่า
ศิลปะของการร้องรำทำเพลง
การศึกษานาฏศิลป์ เป็นการศึกษาวัฒนธรรมแขนงหนึ่ง
นาฏศิลป์เป็นส่วนหนึ่งของศิลปะสาขาวิจิตรศิลป์ อันประกอบด้วย จิตรกรรม สถาปัตยกรรม
วรรณคดี ดนตรี และนาฏศิลป์
นาฏศิลป์
นอกจากจะแสดงความเป็นอารยะของประเทศแล้ว
ยังเป็นเสมือนแหล่งรวมศิลปะและการแสดงหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน
โดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ในการที่จะสร้างสรรค์ อนุรักษ์ และถ่ายทอดสืบต่อไป
จากความหมาย และนิยามดังกล่าวข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า
นาฏศิลป์มีความเกี่ยวข้องกับศิลปะด้านการละคร การฟ้อนรำ
การเคลื่อนไหวอิริยาบถต่าง ๆ ทั้งมือ
แขน ขา ลำตัว
และใบหน้าเพื่อถ่ายทอดความหมาย
และอารมณ์ให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกสะเทือนอารมณ์และมีความสนุกสนานเพลิดเพลิน
ที่มาของนาฏศิลป์ไทย
สันนิษฐานว่านาฏศิลป์ไทยมีกำเนิดมาพร้อม ๆ
กับชนชาติไทย
ที่เป็นเช่นนี้เพราะนาฏศิลป์ไทยเป็นส่วนหนึ่งที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การแต่งกาย
คติ และความเชื่อของคนไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้อาจสรุปได้ว่า
นาฏศิลป์ไทยน่าจะมีที่มาจาก 4 แหล่ง
ดังนี้
1.
จากการเลียนแบบธรรมชาติ
2.
จากการละเล่นของชาวบ้าน
3.
จากการแสดงที่เป็นแบบแผน
4.
จากการรับอารยธรรมของอินเดีย
จากการละเล่นของชาวบ้านในท้องถิ่น
หลังจากเสร็จสิ้นจากภารกิจ ในแต่ละวันชาวบ้านก็หาเวลาว่างมาร่วมกัน ร้องรำ
ทำเพลง
โดยมีการนำเอาดนตรีมาประกอบด้วย และตามนิสัยของคนไทยที่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนชอบร้องเพลงโต้ตอบระหว่างชายกับหญิงจนเกิดเป็นพ่อเพลง แม่เพลงขึ้นโดยจะมีลูกคู่ คอยร้องรับกันเป็นที่สนุกสนานครื้นเครงทั้งนี้อาจจะเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่ง เพื่อให้ลืมความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานในแต่ละวัน
โดยมีการนำเอาดนตรีมาประกอบด้วย และตามนิสัยของคนไทยที่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนชอบร้องเพลงโต้ตอบระหว่างชายกับหญิงจนเกิดเป็นพ่อเพลง แม่เพลงขึ้นโดยจะมีลูกคู่ คอยร้องรับกันเป็นที่สนุกสนานครื้นเครงทั้งนี้อาจจะเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่ง เพื่อให้ลืมความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานในแต่ละวัน
จากการแสดงที่เป็นแบบแผน เป็นที่ทราบกันดีว่า
นาฏศิลป์ไทยที่เป็นมาตรฐานจะได้รับ
การปลูกฝัง
และถ่ายทอดมาจากปรมาจารย์ทางนาฏศิลป์ไทยในวังหลวง
ที่ฝึกให้แก่ผู้หญิงและผู้ชายที่อยู่ในวังเป็นนักแสดงโขน และละคร
เพื่อใช้การแสดงในโอกาสต่าง ๆ และจากการที่นาฏศิลป์ไทยบางส่วนได้รับการถ่ายทอดมาจากวังหลวงนี้เอง
ทำให้ทราบว่านาฏศิลป์ไทยมีที่มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี
เพราะได้มีการจารึกไว้ในหลักศิลาจารึกหลักที่ 8 ว่า “ ระบำ
รำ เต้น เล่น
ทุกฉัน” ซึ่งศิลปะการฟ้อนรำก็ได้รับการสืบทอดต่อเนื่องกันเรื่อยมา
จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์จึงได้มีการนำศิลปะการฟ้อนรำที่เป็นแบบแผนมาสู่ระบบการศึกษา ซึ่งบรรจุอยู่ในหลักสูตรของโรงเรียนนาฏศิลป์หรือวิทยาลัยนาฏศิลป์ในปัจจุบัน
จากการรับอารยธรรมของอินเดีย
ประเทศอินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่มีอารยธรรมเก่าแก่และเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่โบราณกาล โดยเฉพาะการละครในอินเดียรุ่งเรืองมาก ประกอบกับชนชาติอินเดียนับถือ และเชื่อมั่นในศาสนา
พระผู้เป็นเจ้า
ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ พระผู้เป็นเจ้าที่ชาวอินเดีย ได้แก่
พระศิวะ(พระอิศวร) พระวิษณุ และพระพรหม ในบางยุคของชาวอินเดียถือว่าพระอิศวรเป็นเทพเจ้าที่มีผู้เคารพนับถือมาก ยุคนี้ถือว่าพระอิศวรทรงเป็นนาฏราช
(ราชาแห่งการร่ายรำ) มีประวัติทั้งในสวรรค์และในเมืองมนุษย์ในการร่ายรำของพระอิศวรแต่ละครั้งพระองค์ทรงให้พระภรตฤาษีเป็นผู้บันทึกท่ารำ
แล้วนำมาสั่งสอนแก่เหล่ามนุษย์จนเป็นที่มาของตำนานการฟ้อนรำ
ซึ่งการเรียนนาฏศิลป์ไทยผู้เรียนทุกคนจะต้องเข้าพิธีไหว้ครูโขน-ละครก่อน
ได้แก่ พระอิศวร
พระนารายณ์
พระพรหม พระพิฆเนศวร พระพิราพ และพระภรตฤาษี
จากการเลียนแบบธรรมชาติ
กิริยาท่าทางตามธรรมชาติของมนุษย์จะบ่งบอกความหมายและสื่อความหมายกับผู้อื่นได้ควบคู่ไปกับการพูด
ในการฟ้อนรำจะช่วยให้ท่ารำสื่อความหมายกับผู้ชมเช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่าการแสดงบางชุดจะไม่มีเนื้อร้อง
แต่มีทำนองเพลงเพียงอย่างเดียว
นักแสดงก็จะฟ้อนรำไปตามทำนองเพลงนั้น ๆ ด้วยลีล่าท่ารำต่าง ๆ
ลีลาท่ารำเหล่านี้ก็เป็นท่าทางธรรมชาติที่ใช้สื่อความหมาย ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการให้ผู้ชมเข้าใจความหมายในการรำ และใช้ท่ารำในการดำเนินเรื่องด้วย
ถึงแม้ว่าท่ารำส่วนใหญ่จะมีลีลาที่วิจิตรสวยงาม
กว่าท่าทางธรรมชาติไปบ้างแต่ก็ยังคงใช้ท่าทางธรรมชาติเป็นพื้นฐานในการประดิษฐ์ท่ารำ
และเลือกใช้ได้เหมาะสมบ่งบอกความหมายได้ถูกต้อง เช่น
หากต้องการบ่งบอกถึงบุคคลอื่นก็จะชี้ไป
เป็นต้น ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าท่ารำเกิดจากการเลียนแบบท่าทางธรรมชาติ