Wednesday, February 6, 2019

ความหมาย ที่มาของนาฏศิลป์ไทย



พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พุทธศักราช  2542 ได้ให้ความหมายของคำว่า  “  นาฏศิลป์ ”  ไว้ว่า เป็นศิลปะแห่งการละครหรือการฟ้อนรำ นอกจากนี้  ยังมีนักการศึกษา     และท่านผู้รู้ได้ให้นิยามความหมายของนาฏศิลป์แตกต่างกันออกไป  ดังนี้

1.      ความช่ำชองในการละครและฟ้อนรำ
2.      ศิลปะการละครหรือการฟ้อนรำของไทย
3.      การร้องรำทำเพลง  เพื่อให้เกิดความบันเทิงเริงใจ
4.      การฟ้อนรำที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น   โดยการเลียนแบบท่าธรรมชาติด้วยความประณีตลึกซึ้ง
5.     ศิลปะการฟ้อนรำหรือความรู้แบบแผนของการฟ้อนรำ  ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความงามอย่างมีแบบแผน
นาฏศิลป์  หมายถึง ศิลปะการฟ้อนรำ หรือความรู้แบบแผนของการฟ้อนรำ เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความประณีตงดงาม ให้ความบันเทิง อันโน้มน้าวอารมณ์และความรู้สึกของผู้ชมให้คล้อยตาม  ศิลปะประเภทนี้ต้องอาศัยการบรรเลงดนตรี และการขับร้องเข้าร่วมด้วย เพื่อส่งเสริมให้เกิดคุณค่ายิ่งขึ้น หรือเรียกว่า ศิลปะของการร้องรำทำเพลง
    การศึกษานาฏศิลป์ เป็นการศึกษาวัฒนธรรมแขนงหนึ่ง นาฏศิลป์เป็นส่วนหนึ่งของศิลปะสาขาวิจิตรศิลป์ อันประกอบด้วย จิตรกรรม สถาปัตยกรรม วรรณคดี ดนตรี และนาฏศิลป์
นาฏศิลป์ นอกจากจะแสดงความเป็นอารยะของประเทศแล้ว ยังเป็นเสมือนแหล่งรวมศิลปะและการแสดงหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน โดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ในการที่จะสร้างสรรค์ อนุรักษ์ และถ่ายทอดสืบต่อไป

จากความหมาย และนิยามดังกล่าวข้างต้น  สามารถสรุปได้ว่า  นาฏศิลป์มีความเกี่ยวข้องกับศิลปะด้านการละคร  การฟ้อนรำ  การเคลื่อนไหวอิริยาบถต่าง ๆ ทั้งมือ  แขน  ขา  ลำตัว  และใบหน้าเพื่อถ่ายทอดความหมาย  และอารมณ์ให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกสะเทือนอารมณ์และมีความสนุกสนานเพลิดเพลิน


ที่มาของนาฏศิลป์ไทย
 สันนิษฐานว่านาฏศิลป์ไทยมีกำเนิดมาพร้อม ๆ กับชนชาติไทย ที่เป็นเช่นนี้เพราะนาฏศิลป์ไทยเป็นส่วนหนึ่งที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่  การแต่งกาย  คติ และความเชื่อของคนไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน  ทั้งนี้อาจสรุปได้ว่า นาฏศิลป์ไทยน่าจะมีที่มาจาก  4  แหล่ง  ดังนี้

1.     จากการเลียนแบบธรรมชาติ
2.      จากการละเล่นของชาวบ้าน
3.      จากการแสดงที่เป็นแบบแผน
4.      จากการรับอารยธรรมของอินเดีย

จากการละเล่นของชาวบ้านในท้องถิ่น
หลังจากเสร็จสิ้นจากภารกิจ   ในแต่ละวันชาวบ้านก็หาเวลาว่างมาร่วมกัน   ร้องรำ  ทำเพลง
โดยมีการนำเอาดนตรีมาประกอบด้วย   และตามนิสัยของคนไทยที่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนชอบร้องเพลงโต้ตอบระหว่างชายกับหญิงจนเกิดเป็นพ่อเพลง แม่เพลงขึ้นโดยจะมีลูกคู่   คอยร้องรับกันเป็นที่สนุกสนานครื้นเครงทั้งนี้อาจจะเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่ง  เพื่อให้ลืมความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานในแต่ละวัน

จากการแสดงที่เป็นแบบแผน    เป็นที่ทราบกันดีว่า นาฏศิลป์ไทยที่เป็นมาตรฐานจะได้รับ
การปลูกฝัง  และถ่ายทอดมาจากปรมาจารย์ทางนาฏศิลป์ไทยในวังหลวง  ที่ฝึกให้แก่ผู้หญิงและผู้ชายที่อยู่ในวังเป็นนักแสดงโขน และละคร เพื่อใช้การแสดงในโอกาสต่าง ๆ และจากการที่นาฏศิลป์ไทยบางส่วนได้รับการถ่ายทอดมาจากวังหลวงนี้เอง ทำให้ทราบว่านาฏศิลป์ไทยมีที่มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี  เพราะได้มีการจารึกไว้ในหลักศิลาจารึกหลักที่  8 ว่า ระบำ  รำ  เต้น  เล่น  ทุกฉันซึ่งศิลปะการฟ้อนรำก็ได้รับการสืบทอดต่อเนื่องกันเรื่อยมา  จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์จึงได้มีการนำศิลปะการฟ้อนรำที่เป็นแบบแผนมาสู่ระบบการศึกษา  ซึ่งบรรจุอยู่ในหลักสูตรของโรงเรียนนาฏศิลป์หรือวิทยาลัยนาฏศิลป์ในปัจจุบัน



จากการรับอารยธรรมของอินเดีย  ประเทศอินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่มีอารยธรรมเก่าแก่และเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่โบราณกาล  โดยเฉพาะการละครในอินเดียรุ่งเรืองมาก  ประกอบกับชนชาติอินเดียนับถือ และเชื่อมั่นในศาสนา พระผู้เป็นเจ้า  ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ พระผู้เป็นเจ้าที่ชาวอินเดีย  ได้แก่  พระศิวะ(พระอิศวร) พระวิษณุ และพระพรหม ในบางยุคของชาวอินเดียถือว่าพระอิศวรเป็นเทพเจ้าที่มีผู้เคารพนับถือมาก  ยุคนี้ถือว่าพระอิศวรทรงเป็นนาฏราช (ราชาแห่งการร่ายรำ) มีประวัติทั้งในสวรรค์และในเมืองมนุษย์ในการร่ายรำของพระอิศวรแต่ละครั้งพระองค์ทรงให้พระภรตฤาษีเป็นผู้บันทึกท่ารำ  แล้วนำมาสั่งสอนแก่เหล่ามนุษย์จนเป็นที่มาของตำนานการฟ้อนรำ
ซึ่งการเรียนนาฏศิลป์ไทยผู้เรียนทุกคนจะต้องเข้าพิธีไหว้ครูโขน-ละครก่อน ได้แก่  พระอิศวร
พระนารายณ์  พระพรหม  พระพิฆเนศวร  พระพิราพ และพระภรตฤาษี

จากการเลียนแบบธรรมชาติ   กิริยาท่าทางตามธรรมชาติของมนุษย์จะบ่งบอกความหมายและสื่อความหมายกับผู้อื่นได้ควบคู่ไปกับการพูด  ในการฟ้อนรำจะช่วยให้ท่ารำสื่อความหมายกับผู้ชมเช่นเดียวกัน  จะเห็นได้ว่าการแสดงบางชุดจะไม่มีเนื้อร้อง แต่มีทำนองเพลงเพียงอย่างเดียว  นักแสดงก็จะฟ้อนรำไปตามทำนองเพลงนั้น ๆ ด้วยลีล่าท่ารำต่าง ๆ ลีลาท่ารำเหล่านี้ก็เป็นท่าทางธรรมชาติที่ใช้สื่อความหมาย  ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการให้ผู้ชมเข้าใจความหมายในการรำ  และใช้ท่ารำในการดำเนินเรื่องด้วย    


ถึงแม้ว่าท่ารำส่วนใหญ่จะมีลีลาที่วิจิตรสวยงาม กว่าท่าทางธรรมชาติไปบ้างแต่ก็ยังคงใช้ท่าทางธรรมชาติเป็นพื้นฐานในการประดิษฐ์ท่ารำ  และเลือกใช้ได้เหมาะสมบ่งบอกความหมายได้ถูกต้อง  เช่น  หากต้องการบ่งบอกถึงบุคคลอื่นก็จะชี้ไป    เป็นต้น  ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าท่ารำเกิดจากการเลียนแบบท่าทางธรรมชาติ